“มองAEC”โดยวิกรม กรมดิษฐ์ สำหรับคม ชัด ลึก 18/1/12

ระยะนี้มีการพูดถึง AEC กันอย่างตื่นตัวทุกภาคส่วน ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอนำเสนอเรื่องราวของการมอง AEC เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทำความเข้าใจแล้วนำไปสู่การเตรียมตัวก่อนที่ประเทศต่างๆในอาเซียนของเราจะมีการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงในอีกสามปีข้างหน้านี้

AECย่อมาจาก ASEAN Economic Community คือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  เกิดขึ้นมาเมื่อ 44 ปีที่แล้ว  ต้นเหตุการเกิด AECมาจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัสเซียเกิดมีลัทธิคอมมิวนิสต์จากเลนิน  เป็นผู้นำความคิดจากมาร์กซิสม์เข้ามาพัฒนา  ปรับปรุง  และปฏิวัติราชวงศ์ในรัสเซีย  คือการใช้วิธีป่าล้อมเมือง  หรือคนจนที่มีกว่าคนที่มีอันจะกินในเมือง  ความสำเร็จของลัทธิคอมมิวนิสต์นี้จึงถือเป็นรากเหง้า ต่อมาในจีน ผู้นำเหมาเจ๋อตุงได้ใช้แนวคิดเดียวกับเลนิน  ประเทศในอดีตมักปกครองโดยจักรพรรดิ์  ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มเล็ก  เพราะมีคนจนมากกว่า  ทำให้เกิดการนำแรงงานหรือชุมชนของคนที่จนกว่ามาพัฒนาโดยหลักของลัทธิคอมมิวนิสต์  ฉะนั้น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดร.ซุนยัตเซ็นที่ถือเป็นผู้ที่ล้มรัฐบาลของจักรพรรดิ์ในจีน

และถึงแม้ว่าเจียงไคเช็คจะชนะสงครามกับญี่ปุ่นก็ตาม  แต่หลังจากนั้นได้ถูกเหมาเจ๋อตุงขับออกนอกประเทศไปอยู่ที่ไต้หวัน  ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้แผ่ขยายหลังจากที่เหมาเจ๋อตุงได้ยึดครองประเทศจีนเข้าไปสู่เกาหลีเหนือ  สงครามเกาหลีเหนือได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว  สงครามเกาหลีเหนือครั้งนั้นถือเป็นช่วงสงครามที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง  จากสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากลัทธิที่ต่างกัน  สงครามเกาหลีถือเป็นตัวเริ่มของสงครามเย็น  สาเหตุที่มหาอำนาจไม่ประจัญหน้ากันเพราะว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการใช้ระเบิดปรมาณู 2 ลูกได้คร่าชีวิตคนไปกว่า 200,000 คนในญี่ปุ่น

สงครามเย็นได้ขยายตัวจากเกาหลีเหนือ  มีการแบ่งเขตเมื่อสงครามยุติลงเป็นเกาหลีเหนือ  เกาหลีใต้  แต่การฟักตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ขยายตัวสู่สงครามอินโดจีน  จะเห็นว่าเวียดนามได้รับการสนับสนุนจากจีน   เป้าหมายของสงครามเย็นนั้นคือการได้ครอบครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ในขณะนั้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอย่างอเมริกาและยุโรป

การทำสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน  ทำให้รัฐสภาในอเมริกาหรือยุโรปเบื่อหน่ายกับค่าใช้จ่าย  และการสนับสนุนจากฝั่งอเมริกาจึงอ่อนแอลง  โอกาสที่จะถูกคอมมิวนิสต์ครอบครองจึงมากขึ้น  ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของการก่อตัวของประชาคมอาเซียนขึ้น  โดยเริ่มจากการเมืองที่ต้องสร้างการเมืองที่มั่นคง  ด้วยการร่วมมือกันของประเทศในภูมิภาคนี้ที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เพราะในภูมิภาคนี้ยังถือเป็นลัทธิเสรีนิยมอยู่

เป้าหมายหรือนโยบายของอาเซียนนั้นเพื่อความอยู่รอดในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์  จึงนำไปสู่ความร่วมมือสร้างความมั่นคงในด้านกลาโหมในระบบเสรีนิยม  ทุกคนมองว่าเมื่ออเมริกาและยุโรปอ่อนแอ  ประเทศไทยต้องถูกคอมมิวนิสต์ครอบครองแน่นอน  ดูจากความอ่อนแอทางด้านการบริหาร  และความอ่อนแอทางด้านความมั่นคง  แต่ด้วยความสามารถของท่านคึกฤทธิ์  ปราโมชได้ไปจับมือกับเหมาเจ๋อตุงในปีค.ศ. 1975   และขอให้เหมาเจ๋อตุงลดการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนในประเทศไทย  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแปรผันของการร่วมมือของคอมมิวนิสต์  ที่มีรัสเซียและจีนเป็นสายการสนับสนุน  ทำให้ประเทศไทยได้มีการปรับตัวและเกิดความมั่นคง

เมื่อความมั่นคงมีมากขึ้น  ประเทศไทยไม่ถูกครอบครอง  ความมั่นใจของประเทศส่วนที่เหลือจึงดีขึ้น  และขยายตัวไปสู่เศรษฐกิจ   นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายด้านสังคมและวัฒนธรรม  เมื่อความมั่นคงดี  เศรษฐกิจดีขึ้น  จึงหันมาดูแลเรื่องวัฒนธรรม

หลังจากที่มีเป้าหมายและนโยบายแล้ว  สิ่งที่สมาชิกในประชาคมต้องการคือเรื่องของความเชื่อมั่น  เพราะเมื่อ 44 ปีที่แล้วเราไม่มีความเชื่อมั่นถึงความอยู่รอดของประเทศในภูมิภาคนี้เลย  ดังนั้น ความเชื่อมั่นจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่สมาชิกจะได้จากการเกิดประชาคม  อย่างที่ 2 คือลดความขัดแย้ง  การที่มีประชาคมเกิดขึ้นจะทำให้เราได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดขึ้น  ความขัดแย้งในเรื่องของชายแดน เช่น ไทย-กัมพูชา หรือ ไทย-พม่าควรจะลดน้อยลง  อย่างที่ 3 คือการลดต้นทุนราคาสินค้าที่เราขึ้นในประชาคมและจะซื้อขายกัน  เรามีเขตการค้าเสรีอาเซียนเกิดขึ้น  เมื่อก่อนการซื้อขายระหว่างประเทศที่มีการเก็บภาษี  วันนี้ภาษีที่เก็บจะลดลง  และในอีก 3 ปีข้างหน้าคือวันที่ 1 มกราคม ปี 2015ที่จะเกิดAECขึ้น  ถือเป็นวันที่จะลดภาษีอย่างเต็มที่  จนแทบจะไม่มีการเก็บภาษีระหว่างประเทศสมาชิกเลย   อย่างที่ 4 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสร้างความเชื่อมั่นในวงกว้าง  และสร้างอำนาจในการต่อรอง  เมื่อนานาชาติเห็นว่าเรามีการสร้างเครือข่ายร่วมมือกัน ลดความขัดแย้ง  มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น  เมื่อจะออกมาพูดอะไรก็ออกมาพูดพร้อมกัน  จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้น

ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ  เช่น การค้าขายระหว่างกัน  10 ประเทศในอาเซียนจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ  และสูงสุดในปี 2015  วันนี้ประเทศอื่นที่จะส่งออกไป  ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา  ยุโรป  หรือญี่ปุ่นต่างมีเศษฐกิจที่หดตัวลง  แต่ในขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านเราขยายตัวกันอยู่ในขณะที่เศรษฐกิจโลกไม่ดี  เมื่อก่อน 44 ปีที่แล้วเราไม่ค่อยได้คุยกัน  เมื่อไม่คุยกันทำให้เกิดความกลัว  นำไปสู่การสะสมอาวุธ  แต่การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 44 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้  พูดได้ว่าความใกล้ชิด  การพูดคุยของสมาชิก 10 ประเทศนี้มีมากขึ้น   เรามีเลขาธิการของอาเซียนเป็นคนไทยอยู่ในปัจจุบันคือ ดร.สุรินทร์  พิศสุวรรณ  เมื่อเรามีการพูดคุยกันมากทำให้เกิดสันติภาพและความเชื่อมั่นกันระหว่างสมาชิก  และส่งผลทำให้การค้าระหว่างชายแดนมากขึ้น

เมื่อ 44 ปีที่แล้ว ประเทศไทยและเวียดนามถือว่ามีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคมาก  เพราะเวียดนามมีความเข้มแข็งมาก  มีทหารเกือบ  2,000,000 คน  พร้อมที่จะรุกและเข้ายึดครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และไทยก็เคยทำสงครามรบกับเวียดนามที่ชายแดนเขมร  เมื่อมีการพูดคุยมากขึ้น  เศรษฐกิจย่อมมีมากขึ้น   สันติภาพในภูมิภาคจะมีมากขึ้น  นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลง  จากที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อกันกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน

สิ่งที่สร้างมาทำให้นานาชาติเกิดความสนใจให้ความสำคัญต่ออาเซียนมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  จะเห็นได้ว่าทั่วโลกจะประโคมข่าว  มีผู้นำต่างชาติไม่ว่าจะเป็นอเมริกา  จีน  ญี่ปุ่น  หรือรัสเซียเข้ามาร่วมประชุมปรึกษาพูดจา  และถือว่าเวทีอาเซียนเป็นโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกัน  เป็นสิ่งที่นานาชาติได้เริ่มเปลี่ยนมุมมองแล้ว  และเกิดเป็นอาเซียนบวก 6 ที่มีจีน  เกาหลี  ญี่ปุ่น  ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  และอินเดียมาร่วม  นอกจากนั้น  ยังจะขยายเป็นอาเซียนบวก 8 และอาเซียนบวก 9  โดยมีรัสเซียเป็นประเทศที่ 7 อเมริกาเป็นประเทศที่ 8  และสหภาพยุโรปเป็นอันดับที่ 9

หากพูดถึง 9 ประเทศบวกกับอาเซียนแล้ว  เท่ากับขนาดของเศรษฐกิจกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเศรษฐกิจโลก  ทำให้เกิดการขับเคลื่อนของการลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาในอาเซียน  มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา  มีการเดินทางจากคนทั่วโลกเข้ามาในอาเซียนถือว่ามากที่สุด  มีการร่วมลงทุนระหว่างสมาชิกต่อสมาชิกมากขึ้น  และเมื่อสันติภาพได้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ก็มีการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน